สืบ นาคะเสถียร

สืบ นาคะเสถียร

ประวัติ

สืบ นาคะเสถียร เกิดเมื่อวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2492 ที่ตำบลท่างาม อำเภอเมืองปราจีนบุรี บิดาคือ
นายสลับ นาคะเสถียร อดีตผู้ว่าราชการจังหวัดปราจีนบุรี มารดาชื่อ นางบุญเยี่ยม นาคะเสถียร มีพี่น้องทั้งหมด 3 คน
โดยคุณสืบ นาคะเสถียรเป็นบุตรชายคนโต ในวัยเด็ก สืบ นาคะเสถียร ได้ช่วยงานในนาของมารดาทำงานอยู่กลางแจ้งทั้งวันโดยไม่ปริปากบ่น บุคลิกประจำตัว คือเมื่อเขาสนใจหรือตั้งใจทำ
อะไรแล้วก็จะมีความมุ่งมั่นตั้งใจทำอย่างจริงจังจนประสบความสำเร็จ และเป็นผู้ที่มีผลการเรียนดีมาโดยตลอด

การศึกษา


สำเร็จการศึกษาปริญญาตรีคณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ปริญญาโทสาขาวนวัฒน์วิทยา คณะวนศาสตร์มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และปริญญาโทมหาวิทยาลัยลอนดอน ประเทศอังกฤษ สาขาวิชาอนุรักษ์วิทยา

การทำงาน

สืบ นาคะเสถียรเข้ารับราชการในตำแหน่งเริ่มต้น คือตำแหน่งพนักงานป่าไม้ตรี กองอนุรักษ์สัตว์ป่า และปฏิบัติหน้าที่ตำแหน่งอื่น ๆ ต่อมาคือหัวหน้าเขตห้ามล่าสัตว์ป่าบางพระหัวหน้าโครงการอพยพสัตว์ป่าตกค้างในพื้นที่อ่างเก็บน้ำรัชชประภา(เชี่ยวหลาน) จังหวัดสุราษฎ์ธานี หัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าคลองแสง จังหวัดสุราษฎร์ธานี

ตำแหน่งสุดท้ายคือ

หัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าที่ห้วยขาแข้งและทุ่งใหญ่นเรศวรสืบ นาคะเสถียร ทำงานเกี่ยวกับการอนุรักษ์และคุ้มครองสัตว์ป่า ทั้งในด้านการวิจัยและด้านการปฏิบัติการช่วยเหลือชีวิตสัตว์ป่าที่ได้รับบาดเจ็บและได้รับความเดือดร้อน เช่น การอพยพสัตว์ป่าที่ได้รับความเดือดร้อนจากการสร้างเขื่อน เชี่ยวหลาน เขาทำงานด้วยความเสียสละ รับผิดชอบ และมีความตั้งใจสูง คำนึงถึงความปลอดภัยและสวัสดิการของผู้ร่วมงานอย่างเช่นการปฏิบัติงานในหน้าที่หัวหน้าโครงการอพยพสัตว์ป่าตกค้างในพื้นที่อ่างเก็บน้ำเขื่อนรัชชประภาหรือเขื่อนเชี่ยวหลาน จังหวัดสุราษฎร์ธานี เมื่อปี 2529 ซึ่งจากการสร้างเขื่อนเชี่ยวหลาน ทำให้ป่าดงดิบนับแสนไร่ต้องจมอยู่ใต้น้ำส่วนที่เป็นเนินเขาและภูเขาถูกตัดขาดเป็นเกาะน้อยใหญ่จำนวน 162 เกาะ สัตว์ป่านานาชนิดที่เคยอาศัยอยู่ในบริเวณนี้ต้องได้รับผลกระทบจากการ
ที่มีน้ำท่วมฉับพลัน สัตว์ป่าจำนวนมากที่หนีน้ำไม่ทันไม่น้อยกว่า 338 ชนิด ซึ่งมีสัตว์หลายชนิดที่ใกล้จะสูญพันธุ์ เช่น เลียงผา เสือลายเมฆ สมเสร็จ ช้าง กระทิง วัวแดง ไก้ฟ้าหน้าเขียว นกหว้า กบทูด เป็นต้น สัตว์ป่าเหล่านี้ต้องประสบกับการอดอาหาร ขาดร่มเงา ต้นไม้ที่เหลืออยู่บนเกาะก็กำลังจะตาย สัตว์ที่ติดอยู่บนเกาะไม่อาจช่วยเหลือตัวเองได้ ต้องอดอาหารหรือจมน้ำตาย หากไม่ได้รับการช่วยเหลือโดยด่วน สืบ นาคะเสถียร คือหัวหน้าโครงการอพยพสัตว์ป่าเหล่านี้เป็นครั้งแรกในเมืองไทย

ผลงาน

เจ้าหน้าที่โครงการผู้หนึ่งกล่าวถึงหัวหน้าสืบว่า " เขาเป็นคนจริงจัง มีความตั้งใจโดยไม่คำนึงถึงความเหน็ดเหนื่อยของตัวเอง ถ้าจะทำอะไรต้องทำโดยไม่คำนึงถึงเวลา สถานที่ว่าจะยากลำบากแค่ไหน มีความตั้งใจสูง เห็นความเดือดร้อนของสัตว์มากกว่าความเดือดร้อนหรือความลำบากที่ตนเองจะได้รับ งานแทบทุกงาน แกไม่เคยนั่งดูคนอื่นทำ แกมักจะเข้าไปทำเสมอ เจอสัตว์กำลังว่ายน้ำ พวกกระรอก ค่าง ชะนี แกก็กระโดดลงน้ำเอง สัตว์อันตรายอย่างเสือ งู แกจะทำเอง แกพูดว่า เพราะแกเป็นผู้นำ ถ้าแกทำไม่ได้ คนอื่นก็จะไม่มั่นใจ
แต่ถ้าผู้นำทำงานหนัก ทำงานที่ลำบาก ทุกคนจะตั้งใจทำงานและมีกำลังใจมากขึ้น หัวหน้าเสียสละได้ทุกคนก็เสียสละได้ ผมภูมิใจนะที่ได้ทำงานกับแกเป็นผู้บังคับบัญชาที่ไม่เอาเปรียบลูกน้อง ไม่เคยเอาความดีความชอบใส่ตัว ไม่มีนาย มีแค่เพื่อนร่วมงาน
ไม่เลือกว่าคนนั้นจะเป็นลูกจ้างชั่วคราว ลูกจ้างรายวัน ไม่มีใครจริงจังและจริงใจเท่าแกเลย " ในการช่วยชีวิตสัตว์ครั้งนี้ เขาช่วยแม้แต่งูจงอางขนาดตัวยาว 3 เมตร เขาลงมือจับงูด้วยตนเองแม้จะเสี่ยงชีวิตอย่างที่สุดก็ตามเพราะจากจุดปฏิบัติงานที่กลางอ่างเก็บน้ำ กว่าจะไปถึงโรงพยาบาลต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 6 ชั่วโมงเขาบอกว่า " เราต้องจับมันให้ได้เพราะอย่างไรก็เป็นสัตว์ชนิดหนึ่งที่เราต้องช่วยชีวิตไว้เหมือนกับสัตว์อื่นๆ " เขาตระหนักเสมอว่า สัตว์ทุกตัวก็มีสิทธิ์ที่จะมีชีวิตอยู่และรู้ว่าคงไม่มีใครกล้าจับงู เขายอมเสี่ยงชีวิตแม้จะรู้ว่าหากถูกงูกัดคงตายแน่ๆ สองปีผ่านไป เขาเริ่มรู้ว่า งานวิชาการไม่อาจช่วยชีวิตสัตว์ที่กำลังถูกฆ่าได้ปัญหาการทำลายป่าและสัตว์ป่าเป็นปัญหาใหญ่หลวงระดับชาติที่นักวิจัยสัตว์ป่าอย่างเขาจะต้องเข้าไปแก้ปัญหาให้ได้ก่อนจะสายเกินไป
เขาได้จัดทำบทรายงานเรื่อง "การช่วยเหลือสัตว์ป่าตกค้างในพื้นที่อ่างเก็บน้ำเขื่อนเชี่ยวหลาน "
เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาเกี่ยวกับการอนุมัติให้สร้างเขื่อนน้ำโจน ของคณะกรรมการของรัฐบาล รายงานชิ้นนี้ส่งผลอย่างมากต่อการพิจารณา เพราะเป็นครั้งแรกที่มีการศึกษาผลกระทบของสัตว์ป่าจากการสร้างเขื่อน ทำให้หลายฝ่ายสิ้นความสงสัยว่าสัตว์ป่าจะต้องล้มตายอีกมากมายเพียงใด จากการสูญเสียป่าในการสร้างเขื่อน คุณสืบนำข้อมูลเข้าไปในที่ประชุม เพื่อชี้แจงด้วยตนเองและผลการประชุมครั้งนั้นสามารถยับยั้งการทำลายชีวิต สัตว์นับหมื่นตัวและป่าไม้อีก 5แสนกว่าไร่จากการระงับการสร้างเขื่อนน้ำโจน
เดือนตุลาคม 2531 บริษัทไม้อัดไทยจะขอทำสัมปทานไม้ที่ห้วยขาแข้งตอนใต้ ซึ่งเป็นบริเวณที่มีควายป่าและสัตว์ชนิดอื่นๆ อาศัยอยู่สืบได้คัดค้าน มีการจัดนิทรรศการ บรรยายในที่สาธารณะให้ชาวอุทัยธานีให้เห็นความสำคัญของป่าห้วยขาแข้งโดยไม่กลัวว่าจะถูกผู้ใหญ่เรียกมาสอบสวน เขากำลังจะได้รับทุนไปเรียนต่อในระดับปริญญาเอกที่ประเทศอังกฤษ แต่มีเสียงเรียกร้องให้เขามาดำรงตำแหน่งหัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้งด้วยความเหมาะสมทุกประการ เขาจึงมิอาจปฏิเสธ เขาเข้ามารับตำแหน่งในเดือนธันวาคม 2532 เขาออกจับไม้เถื่อน ดูพื้นที่ในป่าประดู่ที่ถูกโค่นกว่า 200 ต้นเพื่อแปรรูปในป่า เขาทำงานโดยไม่กลัวการลอบทำร้าย เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้งมีพื้นที่ 1 ล้านไร่เศษ อยู่ในอำเภอบ้านไร่และอำเภอลานสัก จังหวัดอุทัยธานี เป็นป่าอนุรักษ์ผืนเดียวในเมืองไทยที่ไม่มีราษฎรเข้าไปบุกรุกอาศัยอยู่ เป็นป่าธรรมชาติที่มีความหลากหลายของพืชและสัตว์ที่อุดมสมบูรณ์ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก และยังมีสัตว์หายากในธรรมชาติอยู่ เช่น กระทิง วัวแดง ควายป่า นกยูง ช้าง เสือ ค่างดำ เป็นต้น เขาตั้งใจอย่างเด็ดขาดว่าจะต้องรักษาป่าผืนนี้ให้ได้ต่อไป เขาพบว่าป่าจำนวน 1 ล้านไร่เศษ อยู่ในความรับผิดชอบของข้าราชการ 12 คน เจ้าพนักงานพิทักษ์ป่า 30 คน ลูกจ้างชั่วคราว 120 คน แบ่งไปประจำ 12 หน่วย แต่ละหน่วยต้องรับผิดชอบพื้นที่ป่าถึงหน่วยละ 1 แสนกว่าไร่ และงบประมาณที่ใช้ในการดูแล
ป่าที่อุดมสมบูรณ์แห่งนี้ ได้เพียงไร่ละ 80 สตางค์ ต่อปี ในขณะที่ป่าสงวนที่ถูกบุกรุกจนเสื่อมสภาพแล้วรัฐให้เงินดูแลถึงไร่ละ 1,000 บาทต่อปีหน่วยพิทักษ์ป่าแต่ละแห่งอยู่ลึกเข้าไปในป่ามากบางแห่งต้องนั่งรถเข้าไป แล้วต่อเรือ ใช้เวลาเดินทางถึง 3 วันหากเป็นหน้าฝนก็ถูกตัดขาดจากโลก ภายนอก เจ้าหน้าที่ทำงานด้วยความยากลำบากยิ่งนักในป่าเปลี่ยวอาจจะถูกยิงเมื่อไรก็ได้ โดยไม่มีหลักประกันใดๆ ทั้งสิ้นให้แก่ครอบครัวและตัวเขา พวกเขาขาดวิทยุสื่อสาร รถไม่เพียงพอ
อาวุธก็มีเพียงปืนลูกซองในขณะที่นักล่าสัตว์มีปืนเอ็ม 16 เคยมีเจ้าหน้าที่ถูกนักล่า
สัตว์ยิงตาย 2 ศพขณะที่วิ่งตามจับผู้ต้องหาและต่อมาก็มีเจ้าหน้าที่ถูกลอบยิง
เสียชีวิต ที่หน่วยพิทักษ์ป่าแม่เทิน ไม่มีใครสนใจไม่มีคนจากกรมป่าไม้ไปงานศพ
เหมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น คุณสืบพูดด้วยความเด็ดเดี่ยวว่า " จะไม่มีใครต้องตาย
ในเขตห้วยขาแข้ง ถ้ามีก็ต้องเป็นผม " เขารู้ดีว่าจะต้องเป็นคนของเขาตายอีก
ในสถานการณ์เช่นนี้ เขาไม่สบายใจทุกครั้งที่สั่งให้เจ้าหน้าที่ไปตรวจพื้นที่ในป่า
เขาต้องรับผิดชอบหากมีการตายเกิดขึ้น เขารู้ว่ารัฐบาลไม่สนใจ คนเล็กๆที่อยู่ตามป่าเขา แต่สำหรับคุณสืบแล้วเขาถือว่าพวกเขาเหมือนนักรบในสงคราม ปกป้องผืนป่า มีชีวิตที่เสี่ยงภัย พร้อมจะตายเพื่อห้วยขาแข้ง เขาพยายามหาเงินมาเพื่อเป็นสวัสดิการและประกันชีวิตให้แก่เจ้าหน้าที่ที่ห้วยขาแข้ง เขาวิ่งเต้นหาเงินมาจนประสบผลสำเร็จ แต่เงินที่มีคนติดต่อมอบให้ห้วยขาแข้งต้องมอบผ่านมูลนิธิแห่งหนึ่งซึ่งมูลนิธิแห่งนี้ได้หักค่าธรรมเนียมร้อยละ 10 ของยอดเงินบริจาคทั้งหมด ซึ่งเป็นเรื่องที่เขาปวดหัวใจเป็นอย่างมาก ความอัดอั้นตันใจของสืบเกิดขึ้นอีกเมื่อทุกครั้งที่เขาจับพวกลักลอบล่าสัตว์ได้ ส่วนใหญ่คือคนยากจนในหมู่บ้านรอบๆห้วยขาแข้ง เพราะพวกนี้ทำไปเพราะความยากจนบังคับ และพวกนายทุนกลุ่มอิทธิพลในเมืองก็ส่งปืน ส่งอาหารให้แก่พรานอาชีพและ ชาวบ้าน พร้อมทั้งมีใบสั่งว่าต้องการสัตว์ป่าประเภทไหน เมื่อยิงกระทิงได้ ชาวบ้านก็เอาเนื้อและเขาขายให้นายทุน 4,000 - 5,000 บาท เขาควายป่าราคาสูงเป็นหมื่นๆ บาทขึ้นไป นายทุนบางรายได้ใจขับรถสิบล้อเข้ามาตั้งหลักกันในป่าเป็นอาทิตย์ เพื่อจับแย้จับเหี้ยนับร้อยๆ ตัวส่งขายตามร้านอาหารสัตว์ป่าที่มีอยู่รอบๆ
ตัวเมืองอุทัยธานี เขารู้ดีว่าลูกจ้างชั่วคราวที่มาทำงานให้ทางเขตห้วยขาแข้งก็เป็นลูกหลานชาวบ้านรอบๆบางครั้ง คนเหล่านี้ก็ต้องมาจับญาติพี่น้องของตัวเองคุณสืบเชื่อว่าจะต้องเร่งให้การศึกษาแก่ชาวบ้านรอบๆ พื้นที่ โดยเฉพาะเด็กๆให้เห็นถึงความสำคัญของป่าห้วยขาแข้ง เขาจึงให้ความสำคัญแก่งานเผยแพร่มาก ลงมือทำสื่อต่างๆ เอง
แล้วออกไปบรรยายตามโรงเรียน ตามที่ชุมชนต่างๆ จนถึงเก็บเครื่องมือฉายสไลด์เอง ทำทุกอย่างตั้งแต่เช้าจนค่ำ
แม้ว่าตัวจะอยู่ที่ใดเขาก็ยังห่วงห้วยขาแข้งในปัญหาลักลอบตัดไม้และล่าสัตว์
บางครั้งเที่ยงคืนเขาก็ยังอุตส่าห์ขับรถจากในเมืองเข้ามาในป่าตื่นแต่เช้ามืด
มาเขียนงาน เอกสารที่คั่งค้างไว้ พอรุ่งสางก็ขับรถออกไปตามโรงเรียน
บรรยายให้เด็กนักเรียนฟังต่อ บางครั้งไปประชุมในตัวจังหวัด เข้ากรุงเทพฯ
เพื่อประชุมงานในกรมป่าไม้ และหน่วยงานอื่นๆ ที่ต่างก็ตั้งความหวังกับเขา
ไว้มากจนเป็นกรรมการต่างๆ มากมาย "สืบ" ไม่เคยย่อท้อต่อปัญหาที่เกิดขึ้น
เขาไม่เคยเรียกร้องให้เพื่อนร่วมงานต้องทำงานหนักเท่ากับเขา เขาทุ่มเทความพยายามตลอดเวลาเพื่อรวบรวมข้อมูลป่าห้วยขาแข้งและป่าทุ่งใหญ่นเรศวร เพื่อพิสูจน์ให้องค์การยูเนสโกเห็นว่าป่าทั้งสองแห่งนี้เหมาะสมที่จะเป็น "เขตมรดกทางธรรมชาติของโลก " เพื่อให้ชาวโลกช่วยกันปกป้อง ไม่ใช่เป็นสมบัติของคนไทยเท่านั้น โดยเฉพาะผู้ใหญ่บ้านเมืองนี้ที่ไม่เคยมีความจริงใจต่อการแก้ปัญหาป่าไม้เมืองไทยเลยต่อมาเขาตระหนักว่า มะเร็งร้ายที่กัดกร่อนห้วยขาแข้ง คือชาวบ้านในป่าสงวนรอบๆ ห้วยขาแข้งที่มักจะเข้ามาล่าสัตว์ ตัดไม้ในห้วยขาแข้งแล้วกลับออกไปโดยการสนับสนุนจากผู้มีอิทธิพล เขามีแนวความคิดว่าต้องแก้ปัญหาด้วยการสร้างแนวกันชนขึ้นรอบ ๆ ป่าห้วยขาแข้งในรัศมี 5 กิโลเมตร ให้เป็นเขตปลอดที่อยู่อาศัยของมนุษย์ อพยพชาวบ้านที่อาศัยติดห้วยขาแข้งให้ออกไปอยู่นอกแนวกันชนนี้ แล้วพัฒนาแนวกันชนให้เป็นป่าชุมชนทีชาวบ้านสามารถเข้ามาใช้พื้นที่ตัดไม้และหาของป่าได้ แต่แนวคิดนี้จะสำเร็จได้ก็ต้องได้รับความร่วมมือจากป่าไม้เขต ป่าไม้จังหวัด กระทรวงมหาดไทย ทหาร ตำรวจ และข้าราชการท้องถิ่น ที่จะมีอำนาจในการจัดการ สืบพยายามอย่างหนักในการติดต่อข้าราชการที่เกี่ยวข้องเหล่านี้ ชี้แจงให้ทุกคนเห็นความสำคัญของแนวความคิดนี้เพื่อรักษาป่าที่ดีที่สุดผืนนี้ให้ได้ แต่ไม่ได้รับการสนับสนุนอย่างจริงจังจากใครทั้งสิ้น ต่อมาเขาถูกกลั่นแกล้งจากบริษัททำไม้แห่งหนึ่งซึ่งบอกเล่าให้ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ที่ไปตรวจพื้นที่ที่จังหวัดอุทัยธานีว่ามีการลักลอบตัดไม้ในห้วยขาแข้งข้าราชการผู้นั้นสั่งให้คนแจ้งเรื่องไปยังป่าไม้จังหวัดและกรมป่าไม้โดยไม่สอบถามคุณสืบก่อน เขาถูกเรียกไปพบที่กรุงเทพฯ เขาเตรียมข้อมูลอย่างดีเยี่ยมเพื่อชี้แจงว่าเป็นการทำไม้นอกเขตห้วยขาแข้งและชาวบ้านแอบไปตัดโดยมีผู้มีอิทธิพลหนุนหลังและพยายามอธิบาย ถึงความยุ่งยากที่เขาและเจ้าหน้าที่ต้องประสบ แต่เขาไม่มีโอกาสได้ชี้แจง แต่ถูกสั่งให้ทำงานหนักกว่าเดิมอีก เขาตอบกลับไปว่า " ผมทำงานหนักกว่านี้ไม่ได้แล้ว นอกจากว่าท่านจะยืดเวลาหนึ่งวันให้ยาวไปกว่านี้และผมไม่อาจบอกคนของผม ให้ทำงานหนักกว่านี้ได้อีกแล้ว อาทิตย์ที่ผ่านมาพวกเขาแทบจะไม่ได้หลับไม่ได้นอนเลย " เขารู้สึกหนักอึ้งและถูกกดดัน เขารู้สึกว่าความพยายามแทบเป็นแทบตายของเขานั้นไม่ได้รับการตอบสนองจากใครทั้งสิ้น เขาสิ้นหวังกับระบบราชการ เขาไม่ได้ภูมิใจกับการเป็นข้าราชการอีกต่อไป เขารู้ว่าเขาไม่อาจจะทำอะไรให้มากกว่านี้แล้ว เขาบอกคนใกล้ชิดว่า" ทีนี้ผมแน่ใจแล้วว่า ผมกำลังต่อสู้อย่างโดดเดี่ยว ผมไม่อาจคาดหวังจากใครได้อีกต่อไป "อีกไม่นานเจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่าที่เขานางรำถูกพวกล่าสัตว์จ่อยิงเผาขนแต่ไม่ตาย อีกสองอาทิตย์ต่อมาก็เกิดเหตุการณ์นี้อีก เพราะนักล่าสัตว์ได้รับการบอกเล่าว่าถ้าเจอเจ้าหน้าที่ให้ยิงให้ตาย เขาสะเทือนใจอย่างรุนแรงและรู้ดีว่าสักวันหนึ่งลูกน้องของเขาต้องถูกยิงตายแน่ๆ เขาจะต้องรับผิดชอบความมุ่งมั่นของเขาที่มีต่อห้วยขาแข้งถูกทำลายลงอย่างย่อยยับจากระบบราชการและผู้มีอำนาจในเมืองไทย เจ้าหน้าที่ที่ดูแลห้วยขาแข้งกำลังจะตายโดยที่เขาไม่อาจปกป้องได้ เขาเคยปรารภว่าจะลาออกและไปบวช แต่เขาก็ไม่ลาออกเพราะเขาต้องรับผิดชอบต่อความตั้งใจและความเชื่อของเขา การลาออกเป็นการทรยศต่อห้วยขาแข้งและลูกทีมของเขา การมีชีวิตอยู่ต่อไปไม่สามารทำให้ความมุ่งมั่น ความเชื่อของเขาเป็นจริงได้ และไม่อาจช่วยเหลือคนของเขาได้ สืบ นาคะเสถียร ไม่เคยทรยศต่อหลักการและความมุ่งมั่นของตัวเอง เขาสั่งเสียลูกน้องคนสนิทเขียนจดหมายสั่งลา 6 ฉบับ ก่อนรุ่งสางของวันที่ 1 กันยายน 2533 สืบ นาคะเสถียรก็ปิดม่านชีวิตของเขาลง และเป็นบทเริ่มต้นตำนานนักอนุรักษ์ไทย สืบ นาคะเสถียร และมูลนิธิสืบ นาคะเสถียร

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • Twitter
  • RSS

0 Response to "สืบ นาคะเสถียร"

แสดงความคิดเห็น